วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการปรุงอาหาร

 เทคนิคการปรุงอาหาร  

 

 
    การปรุงอาหารไทยไม่ใช่ศาสตร์ที่ยากเกินไปสำหรับทุกคน รสชาติของอาหารไทยเกิดจากการปรุงรสอย่างกลมกล่อมของเครื่องปรุงและวัตถุดิบหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรต่าง ๆ (ใบกะเพรา, พริก, ผักชี, ขิง, กะทิ, กระเทียม, หอมแดง, ใบมะกรูด, น้ำปลา และซิอิ๊ว เป็นต้น) ในการปรุงอาหารไทย มักจะใช้น้ำมันในการทำอาหารในปริมาณที่น้อย และผ่านการปรุงอย่างรวดเร็ว เพื่อคงไว้ถึงรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุง ซึ่งวิธีการปรุงอาหารไทยหลักๆ มีรายละเอียดดังนี้
  
  
     การปรุงอาหารด้วยวิธีการผัด ( STIR-FRYING ) : วิธีนี้เป็นวิธีปรุงอาหารที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก ถ้าคุณไม่มีกระทะหลุมแบบที่ใช้กันโดยทั่วไป กระทะแบนสำหรับทอดก็สามารถใช้แทนกันได้ ก่อนการผัดทุกครั้งจะต้องตั้งไฟจนกระทะร้อนได้ที่ก่อนจะใส่วัตถุดิบ (เนื้อสัตว์ หรือ ผัก) ลงไปในกระทะ ในการผัดนั้น นิยมใช้ตะหลิว (ทั้งที่ทำจากโลหะ หรือไม้) เพื่อกลับอาหารในกระทะอย่างรวดเร็ว เมื่ออาหารสุก รีบปรุงรสและนำออกจากกระทะและเสิรฟขณะที่อาหารยังร้อนๆ เนื่องจากขั้นตอนการผัดนั้นมักจะใช้เวลาสั้น วัตถุดิบต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาหารประเภทนั้นจะต้องถูกเตรียมให้พร้อมก่อนเริ่มการผัด ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อทำการผัดอาหารแล้วจะได้อาหารที่สุกพอดี ไม่ไหม้จากการที่ต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบอื่นๆขณะที่ผัดอาหาร เคล็ดลับที่สำคัญในการผัดอาหารทะเลนั้น เวลาผัดจะต้องใช้ไฟสูง และผัดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวด้านนอกของอาหารทะเลสุก ขณะที่ภายในยังนุ่ม (ปรุงงเกือบสุก - จะได้รสชาติดีที่สุด) อาหารทะเลที่ปรุงสุกเกินไปจะรสชาติไม่อร่อย ผิวแข็ง และกระด้าง
เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีผัด
อาหารไทย : ผัดผักรวมมิตร
 

     การปรุงอาหารด้วยวิธีการตุ๋น ( STEWING ) : การตุ๋นจะช่วยรักษาคุณประโยชน์ของสารอาหารไว้ได้เกือบครบถ้วน โดยสารอาหารที่สำคัญจากเนื้อสัตว์ ผักและสมุนไพรต่างๆ จะยังคงอยู่ในน้ำที่ตุ๋นอาหาร เนื้อสัตว์ที่หยาบกระด้างเมื่อผ่านการตุ๋นแล้วจะทำให้เนื้อนุ่มน่ารับประทาน ในการตุ๋นอาหารโดยทั่วไป เนื้อสัตว์มักจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดใกล้เคียงกัน และเติมน้ำลงไปพอท่วมเนื้อ และใส่ในหม้อต้มปิดด้วยฝาที่สนิท ตั้งไฟอ่อนๆ เพื่อค่อยๆตุ๋นให้วัตถุดิบภายในสุกอย่างช้าๆ น้ำที่ได้จากการตุ๋นสามารถใช้เสิรฟกับอาหารในลักษณะน้ำราดได้อีกด้วย
เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีตุ๋น
ออาหารไทย : เนื้อตุ๋น
 
     การปรุงอาหารด้วยวิธีการนึ่ง ( STEAMING ) : ในการปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่งนั้น อาหารจะถูกปรุงให้สุกโดยใช้ไอน้ำที่เกิดจากการต้มน้ำภายใต้อาหารนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นอาหารจะไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับน้ำที่ต้ม ซึ่งจะส่งผลให้คุณค่าของสารอาหารยังคงอยู่กับอาหารอย่างครบถ้วน และที่สำคัญในการนึ่งนั้นแทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันลงไปในการนึ่งเลย ทำให้การนึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เคล็ดลับที่สำคัญสำหรับการนึ่งอาหารให้รสชาติดีนั้น วัตถุดิบที่ใช้จะต้องสดมากๆ การนึ่งอาหารโดยทั่วไปจะต้องมีจานที่สามารถทนความร้อน (ทำจากเซรามิก, แก้ว, กระเบื้องก็ได้ ไม่แนะนำให้ใช้จานที่ทำจากพลาสติกหรือเมลามีน) และต้องมีซึ้ง (Steamer) โดยใส่น้ำต้มให้เดือดและนำอาหารที่ต้องการนึ่งวางบนจานทนความร้อนและใส่เข้าไปในซึ้ง และปิดฝาให้สนิท
เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง
อาหารไทย : ปลานิ่ง
 
     การปรุงอาหารด้วยวิธีการทอด ( DEEP FRYING ) : วิธีการทอดนั้นจะทำให้อาหารสุกโดยการใส่เนื้อสัตว์หรือผักลงไปในน้ำมันที่ตั้งจนร้อน ปริมาณน้ำมันที่ใส่จะต้องมากพอที่จะท่วมอาหารที่จะนำไปทอด การทอดนั้นนิยมทอดในกระทะแบบหลุมหรือกระทะชนิดแบนก็ได้ อุณหภูมิของน้ำมันที่ใช้ในการทอดเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการปรุงอาหาร ถ้าน้ำมันไม่ร้อน เมื่อใส่อาหารลงไปทอด จะส่งผลให้อาหารอมน้ำมันและไม่น่ารับประทาน ขณะเดียวกันถ้าอุณหภูมิน้ำมันสูงเกินไป อาหารที่นำไปทอดก็จะไหม้ อุณหภูมิน้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอดอยู่ที่ 180 องศาเซลเซียส (หรือประมาณ 350 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อทอดเสร็จแล้วควรสะเด็ดน้ำมันออกจากอาหารที่ทอด ตะแกรงลวดโลหะเป็นที่นิยมใช้ในการสะเด็ดน้ำมัน นอกจากนั้นกระดาษซับน้ำมันก็สามารถใช้ดูดซับน้ำมันออกจากอาหารที่ทอดได้ อาหารที่ผ่านการสะเด็ดน้ำมันเป็นอย่างดีจะช่วยคงความกรอบให้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีทอด
อาหารไทย : ทอดมันกุ้ง
 
     การปรุงอาหารด้วยวิธีการย่าง ( GRILLING ) : การปรุงอาหารด้วยวิธีการย่างนั้น จะนำอาหารที่ต้องการปรุงให้สุก วางไว้บนไฟหรือความร้อน ซึ่งอาจเป็นเตาถ่าน, เตาไฟฟ้า บางครั้งอาจใช้เตาอบ หรือตั้งกระทะไว้บนไฟในการย่างอาหารก็ได้ ในการย่างอาหารไทยนั้น อาหารอาจถูกย่างโดยตรงกับไฟ หรืออาจห่อด้วย ใบไม้หรือฟลอยส์อลูมิเนียม สำหรับใบไม้ที่นิยมใช้นั้นก็มีใบตอง และใบเตย ซึ่งอาหารที่ห่อและนำไปย่างจะมีกลิ่นหอม ชวนน่ารับประทาน การย่างที่ถูกต้องนั้น จะต้องมีการกระจายความร้อนให้ทั่วอาหารเพื่อไม่ให้อาหารไหม้ ดังนั้นการกลับหน้าอาหารจึงมีความจำเป็น เคล็ดลับการย่างเนื้อสัตว์ให้อร่อยต้องย่างให้ผิวภายนอกให้สุก และพยายามให้เนื้อภายในเกือบสุก ด้วยวิธีนี้จะได้เนื้อที่นุ่ม ไม่หยาบกระด้าง และน่าทานเป็นอย่างมาก
เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีย่าง
อาหารไทย : หมูย่าง
 
     การปรุงอาหารด้วยวิธีการยำ ( SALADS ) : อาหารที่ปรุงด้วยวิธีการยำนั้น จำเป็นต้องเน้นรสชาติที่จัด และ เน้นเครื่องปรุง วัตถุดิบที่สดมากๆ รสชาติอาหารยำจะเป็นการผสมผสานกันของรสเปรี้ยว, รสเค็ม และรสเผ็ดร้อนของพริก ขณะที่การเพิ่มรสหวานนิดหน่อยจะช่วยทำให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น สำหรับรสชาติของอาหารยำนั้นสามารถปรับได้ตามประเภทของอาหาร ในขั้นตอนการยำ วัตถุดิบต่างๆจะถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปลวกน้ำร้อนอย่างรวดเร็ว ในการคลุกวัตถุดิบและเครื่องปรุงเข้าด้วยกัน ต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาหารจะเละ ไม่น่ารับประทาน เมื่อยำอาหารเสร็จแล้ว ต้องรีบเสิรฟทันที อาหารที่ยำเสร็จแล้วปล่อยทิ้งๆไว้นานๆรสชาติของอาหารจะไม่อร่อย เนื่องจากวัตถุดิบที่อยู่ในอาหารจะดูดน้ำยำไปจนหมด ทำให้เสียรสชาติเดิมที่ยำเสร็จใหม่ๆ
เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธียำ

ฝอยทอง


   สูตรขนมหวานไทย : ฝอยทอง

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
  
ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง

* ไข่เป็ด 5 ฟอง
* ไข่ไก่ 5 ฟอง
* น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ(ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
* น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
* กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
* ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)

ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง
ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง
 
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
5. จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ

ขนมทองหยิบ


 สูตรขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
  

ขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ

* ไข่เป็ด 8 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)
* น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
   (เคล็ดลับ : อัตราส่วนมาตรฐานทั่วไป
   น้ำ 1 ส่วน : น้ำตาล 1/2 ส่วน)



ขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ
ขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ
 
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นำไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลายปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นนำไปกรองด้วย ผ้าขาวบางหนึ่งครั้ง
2. นำน้ำเชื่อมที่กรองแล้วไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กะพอให้น้ำเชื่อมร้อนจัดแต่ไม่ให้เดือดพล่าน
3. ใส่ไข่แดงลงในถ้วย ตีจนขึ้นฟู เมื่อน้ำเชื่อมร้อนได้ที่ ใช้ช้อนตักไข่แดงที่ตีจนฟู หยอดลงในน้ำเชื่อม ไข่จะแผ่เป็นวงกลม ใช้ช้อนกลับหน้าสักครั้งเพื่อให้สุกทั่วทั้งสองด้าน จากนั้นจึงตักขึ้น
4. รอจนหายร้อน จึงจับจีบโดยใช้นิ้วมือหยิบ 5 หยิบแล้วใส่ลงในถ้วยตะไลหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้

ทองหยอด


      สูตรขนมหวานไทย : ทองหยอด

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
  

ขนมหวานไทย : ขนมทองหยอด

* ไข่เป็ด 18 ฟอง
* แป้งทองหยอด 1 ถ้วยตวง (หรือแป้งข้าวเจ้า)
* น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
* น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง




ขนมหวานไทย : ขนมทองหยอด
ขนมหวานไทย : ขนมทองหยอด
 
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมน้ำลอยดอกไม้กับน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนำไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสำหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว
2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนำไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตีไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน
3. นำไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้ำเชื่อม สำหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณ แล้วจึงสบัดลงไปในน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจนทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้ำเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้ (ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น)
4. จัดทองหยอดใส่จานเสริฟเป็นของว่างหรือของทานเล่นในวันพักผ่อนสบายๆ

วุ้นกะทิ


      สูตรขนมหวานไทย : วุ้นกะทิี

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
+ ส่วนผสมตัววุ้น +
* วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 5 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
* น้ำใบเตย,น้ำกาแฟ หรือสีผสมอาหาร (จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้)


+ ส่วนผสมหน้าวุ้น +
* วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมะพร้าว 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง
* แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือ 1 1/2 ช้อนชา
* แม่พิมพ์สำหรับใส่วุ้น (ถ้วยหรือชามเล็กๆ ก็สามารถใช้แทนกันได้)
ขนมหวานไทย : วุ้นกะทิกาแฟ
ขนมหวานไทย : วุ้นกะทิใบเตย
 
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ทำตัววุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ำเปล่า ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนำไปต้มจนผงวุ้นละลาย (หมายเหตุ : สามารถใส่น้ำใบเตยเพื่อทำวุ้นกะทิใบเตยหรือ น้ำกาแฟเพื่อทำวุ้นกะทิกาแฟ หรืออาจใส่ สีผสมอาหารเพื่อให้ได้สีที่ต้องการสำหรับตัววุ้น)
2. ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้ละลายดีจึงหรี่ไฟเบาลง
3. ตักส่วนผสมตัววุ้นลงไปในแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้ โดยหยอดให้ได้ประมาณ 3/4 ของแบบ และปล่อยไว้ให้วุ้นจับตัวพอตึง
4. ระหว่างรอตัววุ้นแข็ง เตรียมทำหน้าวุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ำมะพร้าว ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนำไปต้มจนผงวุ้นละลาย
5. จากนั้นจึงใส่แป้งข้าวโพด, หัวกะทิ (ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) และ เกลือลงไปในส่วนผสมหน้าวุ้น คนอย่างต่อเนื่องจน ส่วนผสมละลายเข้ากัน
6. ใส่หัวกะทิที่เหลือลงไป คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงนำส่วนผสมของหน้าวุ้นไปหยอดใส่พิมพ์ให้เต็มอย่างปราณีต (พิมพ์ต้องใส่ตัววุ้นก่อน และต้องรอจน ตัววุ้นแข็งพอตึงๆก่อน มิเช่นนั้นตัววุ้นและหน้าวุ้นจะผสมกัน)
7. เมื่อหน้าวุ้นและตัววุ้นแข็งดีแล้วก็ให้เคาะออกจากแบบ จัดใส่จานและเสริฟได้ทันที

การทำขนมปัง


ขนมปังเป็นขนมอบชนิดหนึ่งที่มี แป้งสาลี ยีสต์ น้ำตาล น้ำและไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก
แป้งสาลีที่มีขายตามท้องตลาดมี 3ชนิด คือ
1.แป้งสาลีชนิดหนัก หรือที่เรียกว่า แป้งขนมปัง
2.แป้งสาลีชนิดธรรมดา หรือที่เรียกว่า แป้งสาลีเอนกประสงค์
3.แป้งสาลีชนิดเบา หรือที่เรียกว่า แป้งเค้ก
•แป้งขนมปังมีโปรตีนสูงกว่า 10.5 % ขึ้นไป ซึ่งคุณสมบัตินี้เหมาะที่จะใช้ทำขนมปังหรือขนมที่ขึ้นฟูด้วยยีสต์ แป้งชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการดูดซึมน้ำได้สูง ทนต่อความแรงในการผสมได้ดี
•ยีสต์ มีหน้าที่ช่วยเพิ่มปริมาตรของขนมปังทำให้มีลักษณะเนื้อและโครงสร้างของขนมที่ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว ซึ่งเกิดจากการหมัก ในการหมักขนมปังจะเกิดแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากสารประกอบต่างๆในแป้ง ทำให้ขนมปังขยายตัวใหญ่ขึ้น
ชนิดของยีสต์ที่ใช้ทำขนมปัง
1.ยีสต์สด ต้องเก็บในตู้เย็นตลอดเวลา อายุการเก็บจะสั้น
2.ยีสต์แห้ง แบบนี้ต้องละลายน้ำก่อนใช้ เก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น ก่อนใช้ละลายด้วยน้ำอุ่น 38 °C โดใช้น้ำ 5 เท่าของยีสต์ น้ำตาล 10%ของน้ำหนักยีสต์
3.ยีสต์แห้งแบบอินสแตนท์ หรือที่เรียกว่า ยีสต์ผง ไม่ต้องเก็นเข้าตู้เย็นสามรถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้ เมื่อเปิดใช้แล้วควรเก็บในภาชนะปิดสนิท ข้อดีคือ ช่วยลดเวลาในการผสมแป้ง
•ในการทำขนมปังสามารถทำได้โดย  1.นวดผสมด้วยมือ 2.นวดผสมด้วยเครื่องนวดแป้ง
•วิธีการผสมแป้งขนมปังมีวิธีการทำอยู่ 3แบบ คือ
1.แบบผสมในขั้นตอนเดียว
ผสมส่วนผสมทั้งหมด >> หมักครั้งที่1 >> ตัด - ปั้น – วางในพิมพ์ >> หมักครั้งที่.2 >> อบ – พักให้เย็น >> บรรจุ
2.แบบสองขั้นตอน
การผสมแบบนี้จะแบ่งแป้งเป็น 2ส่วน
ส่วนแรกเรียกว่า สปองจ์ จะประกอบด้วยแป้ง 70-80 % ของน้ำหนักแป้งในสูตรทั้งหมด นำมาหมักกับยีสต์และน้ำ >> ผสมพอเข้ากัน >> หมัก 3- 4ชั่วโมง
ส่วนที่สอง เรียกว่า โด เติมส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดนวดผสมจนเข้ากัน >> เติมเนยหรือไขมัน >> นวดจนเนื้อเนียน ไม่ติดมือ>> ตัดแบ่ง >> ขึ้นรูป >> หมักในพิมพ์ >> อบ >> พักให้เย็น >> บรรจุ
3.แบบทุ่นเวลา เรียกว่า โน-ไทม์โด
เหมือนกับวิธีที่ 1 แต่เติมสารเร่งให้ก้อนแป้งขึ้นเร็ว หมักเพียง 15 นาที >>ตัดแบ่ง >> ขึ้นรูป-ใส่พิมพ์ >>หมัก 1-2 ชั่วโมง >> อบ >> บรรจุ
การทำขนมปังวิธีนี้ขนมปังเนื้อจะหยาบ แต่จะประหยัดเวลาในการทำ
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >....
 

การทำขนมดอกจอก

สูตร

ผสมแป้ง ชนิดรวมกัน ใส่เกลือ น้ำตาลทราย ไข่แดงนวดกับน้ำเปล่าจนนิ่ม ใส่น้ำปูนใส น้ำมัน
พืชคนให้เข้ากัน ใส่งาพักไว้

วิธีทอดใส่น้ำมันมาก ๆ ในกระทะให้ท่วมพิมพ์น้ำมันร้อนจัด จุ่มพิมพ์ลงในน้ำมันให้ร้อนจัด
(หาผ้าพับซ้อนกันสำหรับเช็ดก้นพิมพ์) แล้วจึงชุบลงในแป้งประมาณ 3/4 ของพิมพ์ พอแป้ง
จับพิมพ์นำไปจุ่มลงในน้ำมันร้อนจัด กดพิมพ์ให้อยู่ในน้ำมันสักครู่ ดึงพิมพ์ออกจากแป้ง
ทอดแป้งให้เหลืองสวย
ส่วนผสม แป้งสาลีร่อนแล้ว      1 ถ้วยตวง
แป้งมัน                1/2 
ถ้วยตวง
เกลือ                1 1/2 
ช้อนชา
น้ำมัน                     2 
ช้อนโต๊ะ
น้ำปูนใส               2/3 
ถ้วยตวง
น้ำมันสำหรับทอด     1 
ขวด
แป้งข้าวเจ้า            1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย         1/2 
ถ้วยตวง
ไข่แดง                   1
ฟอง
น้ำเปล่า                2/3ถ้วยตวง
งาขาว                  1/4
ถ้วยตวง

การทำกระทง




ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้วนะคะ วันที่ 12 เดือนนี้ก็จะเป็นวันลอยกระทงแล้ว
เรามาทำกระทงกันดีกว่า เผื่อว่าใครจะสนใจทำกระทงลอยเองในปีนี้
แถมประหยัดงบประมาณ การซื้อของด้วยค่ะ คิดว่าหลายๆ คนน่าจะทำกันได้นะคะ



เริ่มจากวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำกระทงค่ะ
1. ใบตองตานี 2 กิโลกรัม (สำหรับขนาดตามแบบ)
ที่นิยมใช้ใบตองตานี ก็เพราะมีความเหนียว สีเขียวสวย สีสม่ำเสมอ ทนทาน



2. กล้วยไม้ 1 กำ ใหญ่
ที่ใช้กล้วยไม้เพราะกลีบทน เหี่ยวแห้งยาก
แต่ถ้าใครจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้
เช่น กุหลาบมอญ หรือ ใบกระบือ ก็ได้



3. ดอกพุดนิดหน่อย



4. โฟม 1 อัน ตามแบบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว หนา 3 นิ้ว



5. ธูป และเทียน แบบตามชอบ



มาเตรียม อุปกรณ์ ในการทำกระทงกันต่อไป
1. กรรไกร สำหรับ ตัดใบตอง หรืออื่นๆ
2. คัตเตอร์ ใช้สำหรับตัดโฟม
3. เข็มมือเบอร์ 7  ใช้สำหรับเย็บใบตอง
4. ด้ายเบอร์ 60 ใช้กับเข็มมือ
สีเขียวใบตอง ใช้สำหรับเย็บใบตอง
สีอื่นๆ ตามแต่ชนิดของดอกไม้ที่ใช้
5. ตะปูเข็มหมุด ใช้สำหรับยึดกลีบใบตอง  ขนาดยาว ประมาณ 1 นิ้ว
ต้องใช้หัวโต ถ้าหัวเล็กมากจะยึดใบตองไม่อยู่
ใช้ 1 – 2  ห่อ ขึ้นอยู่กับขนาด ของกระทง
(หาซื้อตะปูเข็มหมุดหัวโตไม่ได้ค่ะ เลยใช้ ตะปูตัวเล็กแทน)
6. ฟลอร่าเทป ใช้สำหรับพันก้านดอกไม้ พันก้านไม้
7. ไม้เสียบลูกชิ้น ใช้สำหรับยึดเทียน  เพื่อให้ปักลงกระทงได้ง่าย
ใช้ 1 อัน (ซื้อผลไม้รถเข็น ก็จะได้ ไม้จิ้มผลไม้มา 1 อัน)
8. ผ้าสะอาด ใช้สำหรับเช็ดใบตอง


เตรียมวัตถุดิบ ก่อนทำกระทง
เริ่มจาก เตรียมใบตองก่อนเลยค่ะ
1. เช็ดทำความสะอาดใบตองด้วยผ้าแห้ง ไปตามขวาง
2. ผึ่งใบตองให้นิ่ม เพราะว่าถ้าใบตองสดเกินไป
เวลาพับกลีบต่างๆ ใบตองจะแตก
ถ้าพับกลีบแล้วยังมีรอยแตกแสดงว่าใบตองยังไม่นิ่มพอ


3. ตัดส่วนหัวของใบตองออก




หรือ จะใช้วิธีดึง ย้อนตามแนวเส้นใบตองก็ได้
ถ้าดึงตามแนวใบตอง ใบตองจะขาด



4. ฉีกใบตอง จากตรงกลางใบ โดยการวัด จะได้ใบตองที่มีขนาดเท่ากัน

ฉีก ขนาด 2.5 นิ้ว สำหรับทำกลีบ ประดับรอบกระทง
ใช้ประมาณ 250 อัน  จำนวน ใบตองที่ฉีก จะขึ้นอยู่กับขนาดเส้นผ่าฐานที่ใช้
และจำนวนชั้นที่จะประดับด้วย (ตามแบบใช้ 5 ชั้น)
ฉีก ขนาด 2.0 นิ้ว สำหรับทำกลีบขอบกระทง  ใช้ประมาณ 68  อัน
จำนวนที่ใช้จะขึ้นอยู่กับการเย็บด้วยว่า จะเย็บ ถี่ หรือ ห่างแค่ไหน
ฉีก ขนาด 2.0 นิ้ว สำหรับ ตกแต่งด้านใน ใช้ประมาณ 38-40 อัน
ใบตองช่วงกลางใบจะกว้าง ควรจะฉีกเอาไว้สำหรับทำกลีบ ขอบกระทง



5. ตัดปลายใบตองเพื่อความสวยงาม แต่ถ้าต้องการความเร็ว ไม่ต้องตัดก็ได้ 
เพราะสุดท้ายก็ต้องมาตัดอีกครั้งอยู่ดี



ตอนนี้ก็เตรียมใบตองเสร็จแล้วเรียบร้อย ก็จะเป็นการเตรียมกล้วยไม้
เด็ดกลีบกล้วยไม้ พักใส่ถุงไว้ เราจะใช้ส่วนของ กลีบดอก กับ ปากของดอก


จากนั้นเตรียม ฐานกระทง เกลาโฟม ให้โค้งนูน เป็นลักษณะหลังเต่า
หลังจากนั้นเก็บไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร



เรามาเริ่มทำตัวกระทงกันเลย เริ่มจาก ทำกลีบสำหรับขอบกระทง
เราจะใช้กลีบคอม้า เย็บติดกันเป็นเส้นยาว เพื่อเอาไปพันติดรอบฐานกระทง

วิธีพับกลีบคอม้า
1. ใช้ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว
จับใบตองให้ด้านนวลอยู่บน ส่วนหัวของใบอยู่ด้านขวา


2. พับใบตองด้านซ้ายลงมา ให้ริมใบตอง ตั้งฉาก
ในรูปใบตองดูสั้น จริงๆ ยาวนะคะ ต้องยาวค่ะ ไม่อย่างนั้นจะใช้เย็บกลีบคอม้าไม่ได้




3. พับใบตองด้านขวาลงมาประกบ ให้ริมใบตองชิดกันพอดี


4. จับพับทบ เข้าหากัน



5. จับใบตองตามแนวนอน ให้ปลายแหลมหันไปทางซ้าย


6. พับริมใบตองด้านขวา ลงมาตั้งฉากชิดกับขอบพอดี



7. พับทบไปทางด้านซ้าย อีกครั้ง
ในรูป ปลายใบตองด้านขวาสั้น จริงๆ จะยาวนะคะ
ต้องตัดต่อเพราะจะเกินหน้าจอคอมฯ


8. ทำด้านหลัง แบบเดียวกัน



9. ทำกลีบเพิ่ม โดยวิธีเดียวกัน นำมาสอดทับเข้าตรงกลางทางด้านซ้ายมือ


10. จับแนวของสันทบให้ตรงและขนานกัน แล้วเย็บตรึง
ใช้ด้ายสีเดียวกับใบตอง ถ้าจะให้แน่น ควรเย็บแบบด้นถอยหลัง และแทงเข็มขึ้น



11. แทงเข็มลงไปทางด้านขวา ให้แนวด้ายเฉียงลงมา เพื่อให้เส้นด้ายขวางกับแนวเส้นของใบตอง


12. เย็บต่อไปเรื่อยๆ โดยให้ระยะห่างของแต่ละกลีบเท่าๆ กัน
ระยะห่างของแต่ละกลีบ ควรจะห่างกันตั้งแต่ 0.5 ซม.-1 ซม.
ถ้าชิดกันกว่านี้ จะมีผลตอนประกอบเข้าเป็นตัวกระทง
ซึ่งจะอธิบายในขั้นตอนนั้น แต่ถ้าเย็บห่างเกินไป จะดูไม่สวยงาม



13. เย็บให้ได้ความยาวเท่ากับเส้นรอบวง ของฐานกระทง


14. ตัดปลายใบตองให้เรียบร้อย ให้ความกว้างเท่ากันตลอดทั้งเส้น
พักเก็บไว้ไม่ให้โดนลม เพื่อป้องกันใบตองแห้งเกินไป
อาจจะเอาไปราด หรือจุ่มน้ำ 1 ครั้ง แล้วหาผ้าบางๆ ชุบน้ำปิดไว้
หรือถ้ามีถุงพลาสติคแบบถุงเย็น ก็เอาไปใส่เก็บไว้ก็ได้



ต่อจากนี้ เรามา เริ่มตกแต่ง ด้านในกระทงกันค่ะ
นำฐานกระทงที่เกลาเป็นหลังเต่าเรียบร้อย มาติดตกแต่งด้วยใบตอง
1. หาจุดกึ่งกลางของฐานกระทง
2. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว 
ใช้กรรไกรตัดด้านที่จะติดตรงกลางฐาน ให้เฉียงเล็กน้อย ตามรูป
3. ใช้ตะปูเข็มหมุด ยึดให้แน่น


4. ติดต่อไปเรื่อย โดยให้แนวทบของใบตองอันต่อไป เกยทับกับขอบใบตองอันก่อนหน้า เล็กน้อย



5. ตัดชายใบตองส่วนเกินออกด้วย


6. ติดไปเรื่อยๆ  สู้ต่อไป 



7. ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ


8. เมื่อเสร็จแล้วหน้าตาจะออกมาแบบนี้ค่ะ


จากนั้นเรามาแต่งตรงกลางของกระทงกัน
1. เริ่มจาก นำส่วนของปากดอกกล้วยไม้ มาพับตามรูป ... พับขวา



2. พับซ้าย


3. ตัด ตรงงอๆ ของโคนออก



4. นำมาติดให้เป็นลายประจำยาม ยึดติดด้วยตะปูข็มหมุด ขั้นตอนตามรูป 


5. เสร็จแล้วก็จะมีหน้าตาแบบนี้
ถ้าใครมี ความคิดแต่งให้อลังการ กว่านี้ ก็ได้เลยค่ะ จะใช้ดอกพุดถักตาข่าย ก็สวยงามมิใช่น้อย



ตรงกลางที่ว่าง เราจะมาแต่งให้ดูดีขึ้นอีกนิด จะใช้กลีบบัวแต่งค่ะ

มาเริ่มพับกลีบบัว กันเลยค่ะ
1. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้ว
หันด้านนวล ขึ้นข้างบน วางกลีบกล้วยไม้ไว้ตรงกลาง


2. พับใบตองด้านขวาลงมา 2 ครั้ง ให้ได้แนวตั้งฉาก


3. พับด้านซ้ายเหมือนกับด้านขวา



4. ให้สันทบของทั้ง  2 ข้างชิดกันพอดี



5. จับกระพุ้ง ให้มีลักษณะเหมือนกลีบบัวหรือนมสาว จะเห็นกลีบกล้วยไม้ อยู่ด้านใน


6. ใช้กรรไกร ตัดปลายส่วนเกินให้เรียบร้อย



7. นำกลีบบัวไปติดให้รอบๆ ช่องว่างตรงกลางกระทง



8. ตัดใบตอง เป็นวงกลม นำไปปิดไว้ตรงกลางกลีบบัว


ตอนนี้เราเย็บขอบกระทงเสร็จแล้ว ทำส่วนของตรงกลางกระทงเสร็จแล้ว

มาเริ่มประกอบเป็นกระทงกันเลยค่ะ
1. นำกลีบคอม้าที่เย็บเสร็จแล้ว ลองนำมาวัดรอบกระทง เพื่อดูว่าจะพอดีหรือเปล่า



2. วัดได้พอดีแล้ว ก็เย็บตรึงให้แน่น



3. สวมเส้นกลีบคอม้าลงไปกับฐานกระทง จัดแต่งให้เรียบร้อย ยึดด้วยตะปูเข็มหมุด
ขอบของกลีบคอม้าควรจะสูงกว่าส่วนบนของฐานเล็กน้อย
ไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้ว ขอบจะบังส่วนที่เราตกแต่งเสียหมด


4. ขอบกระทงจะดูบานๆ นะคะ ใช้มือตะล่อม เข้าไปให้หุบลง
ถึงตรงนี้ ตอนเย็บกลีบ ถ้าใครเย็บถี่มากเกินไป จะตะล่อมไม่ลงค่ะ
กระทงก็จะมีปากบานๆ ดูไม่สวยงาม



5. เสร็จแล้วก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ


จากนี้ เราจะมาเริ่มทำกลีบ ประดับรอบๆ กระทงกันนะคะ
 เราจะใช้กลีบเล็บมือนางซ้อนกันค่ะ ดูตามขั้นตอนเลยค่ะ

1. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2.5 นิ้ว  ยาวประมาณ 4 นิ้ว
พับทบครึ่งใบตองตามขวาง ลงมาด้านนวลอยู่ด้านใน



2. จับริมใบตองเข้าด้านในกึ่งกลางของกลีบ



3. ทำอีกด้านแบบเดียวกัน


4. วางกลีบกล้วยไม้ตรงกลาง
 


5. พับใบตองมาด้านซ้าย ใช้กรรไกรตัดส่วนที่เกินจากกึ่งกลางออก



6. พับใบตองมาทางด้านขวา ให้ทับซ้อนกัน เหลือช่องว่างส่วนปลายเล็กน้อย



7. พับริมใบตองด้านซ้าย ซ้อนทับให้สันทบ ขนานกับสันทบด้านบน



8. พับใบตองด้านขวาที่เหลือซ้อนทับ ให้สันทบ ขนานกับสันทบด้านบน
แล้วระยะห่าง เท่ากันทั้ง 2  ซ้าย-ขวา



9. ใช้กรรไกรตัดปลายส่วนเกินออก ถ้าช่วยกันทำหลายคน
หรือกลัวว่ารอยพับจะแยกออก อาจจะเย็บตรึงด้วยด้ายเป็นรูปกากบาท ดังรูป
การพับกลีบเล็บมือนางซ้อนจะพับเป็นสามเหลี่ยม จะไม่พับซ้าย-ขวา ตรงๆ



เมื่อทำกลีบเล็บมือนางซ้อนเรียบร้อยแล้ว เราจะนำกลีบไปติดรอบๆ กระทงกันเลยค่ะ

1. ติดแถวที่ 1 ให้รอบกระทง  ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้ส่วนปลายของกลีบอยู่ต่ำกว่าขอบปากกระทงไม่เกิน 1 นิ้ว



2. ติดกลีบแถวที่ 2 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบแถวที่ 2 นั้น อยู่ระหว่างกลีบของแถว ที่ 1



3. ติดกลีบแถวที่ 3 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบแถวที่ 3 นี้ อยู่ระหว่างกลีบแถวที่ 2 และให้ตรงกับกลีบของแถวที่ 1



4. ติดกลีบแถวที่ 4 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบชั้นแถวที่ 4 นี้ อยู่ระหว่างกลีบแถวที่ 3
และให้ตรงกับกลีบ แถวที่  2



5. ติดกลีบแถวที่ 5 ชั้นสุดท้าย โดยรอบ ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
ในแถวนี้ ให้หงายกลีบขึ้น แล้วติดกลีบให้อยู่ระหว่างกลีบ แถวที่ 4
และให้กลีบ ตรงกับกลีบแถวที่ 1 และ 3 เป็นอันเสร็จสมอารมณ์หมาย
. . . แต่เท่านั้นยังไม่พอ ... ยังไม่มี ธูปและเทียน . . .



มาตกแต่งธูปและเทียนเล็กน้อย
1. สำหรับเทียนที่มีขนาดใหญ่  เราจะเซาะร่องสำหรับเอาไม้เสียบลูกชิ้น วางลงไป
2. นำดอกพุดมามัดติด เข้ากับเทียน ประมาณ 4-5 แถว 
แต่ละแถววางดอกระหว่างแถว เหมือนการติดกลีบเล็บมือนางซ้อน
3. พันฟลอร่าเทป ปิดด้าย และยาวลงมาจนถึงไม้  ตัดปลายไม้ให้แหลม

ในส่วนของธูปก็ทำแบบเดียวกัน แต่ไม่ต้องใช้ไม้เสียบลูกชิ้น
เพราะก้านของธูปเป็นไม้อยู่แล้ว มัดรวมธูปเข้าด้วยกัน แล้วตกแต่งด้วยดอกไม้

ถ้าใครใช้ดอกดาวเรือง ตัดก้านดอกออกให้เหลือแต่ส่วนของโคนดอกกับดอก
แล้วก็เสียบไม้ลงไปตรงดอกจากด้านบน แล้วพันปิดทับด้วยฟลอร่าเทป
(ส่วนของธูปถ้าก้านธูปใหญ่ มัดธูปเข้าด้วยกันแล้ว ตัดก้านออก 1-2 อัน
เพื่อให้สามารถแทงก้านธูปลงไปได้)